วันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ประวัติศาสตร์


ถิ่นกำเนิดชนชาติไทย
                                                                               
                                        ถิ่นกำเนิดของชนชาติไทย  ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ในปัจจุบัน  เนื่องจากยังหาหลักฐานมายืนยันอย่างชัดเจนไม่ได้ว่าชนชาติไทย มีถิ่นกำเนิดที่แท้จริงอยู่ที่บริเวณใด  คงมีเพียงข้ออ้างอิง  ทฤษฎี  และข้อสันนิฐาน ว่ามีถิ่นกำเนิดในที่ต่างๆ กันไป ตามแต่ใครจะหาหลักฐานอ้างอิง หรือมีเหตุผลประกอบการนำเสนอพร้อมหลักฐานอ้างอิงได้  ซึ่มีนักประวัติศาสตร์หลายท่านได้ค้นคว้า  ศึกษา  เสาะแสวงหาหลักฐานทางประวัติศาสตร์มายืนยันอยู่หลายท่าน ซึ่งแต่ละท่านก็ได้แสดงความคิดเห็นพร้อมทั้งเสนอพยานหลักฐานยืนยันแนวความคิดของตนเอง  ซึ่งได้เสนอไว้เป็นแนวทางในการศึกษาถึงถิ่นกำเนิดของชนชาติไทยดังนี้                                                                       
1.  บริเวณตอนเหนือของประเทศจีน
                                        วิลเลี่ยม  กลิฟตัน  ดอดด์  มิชชันนารีชาวอเมริกัน  เคยเดินทางไปมณพลยูนนานในประเทศจีน  ระหว่าง ..2450 – 2461  และได้เขียนหนังสือ  
เกี่ยวกับชนชาติไทย ชื่อ  ชาติไทย พี่อ้ายของคนจีน  ซึ่งหลวงแพทย์นิติสวรรค์  ฮวดหลี  หุตะโกวิท  ได้แปลเป็นภาษาไทยว่า ชนชาติไทย  ดอด์ด อธิบายว่า กลุ่มคนไทยมีเชื้อชาติสายมองโกล  พูดภาษาไทย  อาศัยอยู่ทางตอนเหนือของจีน  เรียกตนเองว่า อ้ายลาว  (จีนเรียก ต้ามุง)  ชนชาตินี้เคยครอบครองดินแดนประเทศจีนปัจจุบัน  แต่ถูกจีนรุกราน  จึงถอยร่นมาตั้งถิ่นฐานในมณฑลยูนนาน  ไกวเจา  กวางตุ้ง  และกวางสี  โดยอยู่ภายใต้การปกครองของจีน  แต่มีคนไทยบางส่วนได้อพยพลงมาทางใต้  เข้าสู่คาบสมุทรอินโดจีนและได้ร่วมกันก่อตั้งอาณาจักรน่านเจ้าในเวลาต่อมา
                                         ขุนวิจิตรมาตรา  (รองอำมาตย์โทสง่า  กาญจนาคพันธ์)   ได้แสดงความคิดเห็นไว้ในหนังสือ หลักไทย” ว่าถิ่นเดิมของชนชาติไทยอยู่ที่บริเวณเทือกเขาอัลไต  ทางตอนเหนือของจีน (ติดกับมองโกเลีย)  ต่อมาจึงได้อพยพลงไปทางใต้เพื่อหาที่อยู่ใหม่ที่อุดมสมบูรณ์กว่า   และได้ก่อตั้ง นครลุง  ขึ้น หลังจากนั้นอพยพมาทางบริเวณตะวันตกเฉียงใต้ของมณฑลเสฉวน  แล้วสร้างเมืองใหม่ คือ นครปา  หรือ  อ้ายลาว  ซึ่งต่อมาถูกจีนครอบครอง จึงอพยพลงมาทางใต้ เข้าสู่คาบสมุทรอินโดจีน  และดินแดนประเทศไทยปัจจุบันตามลำดับ   
2บริเวณตอนกลางของประเทศจีน
                                        เทเรียน  เดอ  ลา  คูเปอรี   เป็นชาวอังกฤษ และเป็นผู้เชียวชาญทางภาษาศาสตร์ของอินโดจีน  ได้ศึกษาจากเอกสารจีน  กล่าวว่าอาณาจักรต้ามุง  ซึ่งเป็นกลุ่มชนชาติไทยในมณฑลเสฉวนของจีน  ระยะแรกชนชาติจีนได้ยกย่องชนชาติไทยว่าเป็นชนชาติที่น่ายกย่อง  เพราะต้ามุงหมายถึงเมืองใหญ่ และมีความสัมพันธ์อันดีต่อกั้น  แต่ต่อมาจีนเริ่มรุกรานเข้ามาในอาณาจักรต้ามุง  คนไทยจึงได้อพยพลงมาทางใต้บริเวณมณฑลเสฉวน และเข้าสู่ตอนเหนือของคาบสมุทรอินโดจีนในระยะต่อมา
                                        หลวงวิจิตรวาทการ และ  พระยาอนุมาณราชธร   ได้วิเคราะห์เรื่องถิ่นกำเนิดของไทยไว้ในหนังสือเรื่อง งานค้นคว้าเรื่องเชื้อชาติไทย  ว่า ถิ่นกำเนิดของชนชาติไทยอยู่ในดินแดนที่เป็นมณฑลเสฉวน  ฮูเป  อันฮุย  และ  เกียงสี  บริเวณตอนกลางของจีน  ต่อจากนั้นจึงอพยพลงมาทางตอนใต้ที่เป็นมณฑลยูนนานและแหลมอินโดจีน
3. บริเวณตอนใต้ของจีน
                                        สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ  (บิดาแห่งวิชาประวัติศาสตร์ไทย)  ได้แสดงพระราชดำริไว้ในนิพนธ์เรื่อง แสดงบรรยายพงศาวดารสยามและลักษณะการปกครองประเทศสยามแต่โบราณ  ว่า   แต่เดิมชนชาติไทยมีภูมิลำเนาอยู่ทางตอนใต้ของจีน  แถบมณฑลกวางตุ้ง  และยูนนาน  ต่อมาถูกจีนรุกรานจึงอพยพเพื่อแสวงหาดินแดนใหม่  โดยแยกออกเป็น  2  สายดังนี้
-                    สายที่ 1  อพยพไปทางทิศตะวันตกแถบลุ่มน้ำสาละวินในพม่า  และบริเวณรัฐอัสสัมของอินเดียปัจจุบัน  เรียกว่า ไทยใหญ่
-                    สายที่ 2  อพยพลงมาทางใต้แถบบริเวณแคว้นตัวเกี๋ย  สิบสองจุไท  สิบสองปันนา  ลุ่มแม่น้ำโขงตอนบน  เรียกว่า ไทยน้อย” ซึ่งถือเป็นบรรพบุรุษของคนไทยปัจจุบัน
   4.  บริเวณดินแดนประเทศไทยปัจจุบัน                                                                                                                                                                                  
                                        อารยธรรมก่อนประวัติศาสตร์  ในบริเวณที่เป็นประเทศไทยในปัจจุบันนี้  ได้มีนักโบราณคดี นักมนุษยวิทยา และนักชาติพันธุ์วิทยา  ได้ทำการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องราวของมนุษย์ในยุดที่ยัง  ไม่มีตัวอักษรสำหรับใช้บันทึกเรื่องราวของตนเป็นหลักฐานและความรู้ทางเทคโนโลยี ก็อยู่ในระดับต่ำซึ่งเรียกว่า ยุคหิน  และ  ยุคโลหะ  อันเป็นสมัยก่อนประวัติศาสตร์ปรากฏว่าได้ค้นพบโครงกระดูก  เครื่องมือ  เครื่องใช้  ของมนุษย์ในสมัยดังกล่าวเป็นจำนวนมาก  สันนิษฐานว่า ในดินแดนอันเป็นที่ตั้งของประเทศไทยปัจจุบันนี้เคยเป็นแหล่งอารยธรรมเก่าแก่ของโลกแห่งหนึ่ง  ก่อนจะถึงยุดที่มีตัวอักษรบันทึกเรื่องราว  แหล่งที่ค้นพบอารยธรรมก่อนประวัติศาสตร์ในประเทศไทยที่สำคัญ คือ                                                                                                                      
-                    ถ้ำผี  อยู่ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน  มีการขุดพบโครงกระดูกมนุษย์ เครื่องมือที่ทำด้วยหิน  มีอายุรุ่นเดียวกับโครงกระดูกมนุษย์ที่ค้นพบที่
กรุงปักกิ่งของจีน                                                                                                                 
-                    ถ้ำพระ   อยู่ในเขตอำเภอไทรโยค  จังหวัดกาญจนบุรี  ได้ขุดพบโครงกระดูกมนุษย์เครื่องมืดที่ทำด้วยหิน แสดงถึงพิธีกรรมในการฝังศพ  และมีความ
เชื่อถือในเรื่องที่จะกลับมาฟื้นคืนชีพได้อีก                               

                                                                                                                                                                                                              
                                                                                                                       ;                                                                                                                                ภาพเขียนสีบนเผิงหิน ที่เขาจันทร์งาม .นครราชสีมา          
                                                                                                                                                                                                                                                                                          

    







จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์บริเวณภาคกลางของประเทศไทย เป็นที่อยู่อาศัยของกลุ่มชนที่  เข้ามาอาศัยอยู่ในพื้นที่นี้  เป็นกลุ่มชนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ อายุประมาณ  4500-3500 ปีมาแล้ว   

                                        -      บ้านเชียง   เป็นตำบลหนึ่งในเขตอำเภอหนองหาน  จังหวัดอุดรธานี  มีการขุดพบโครงกระดูกมนุษย์  เครื่องปั้นดินเผาที่มีการเขียนลวดลายด้วยสีสรรอย่างสวยงาม  นอกจากนี้ยังพบปลายหอกทำด้วยสำริด  กำไลแขนสำริด  ลูกปัดแก้ว  ซึ่งมีอายุมากกว่า 7,000-5,000 ปีมาแล้ว  หรือราว 1,800 ปีก่อนพุทธกาล  ถือเป็นแหล่งกำเนิดอารยะธรรมอันเก่าแก่ที่สุดของโลกแห่งหนึ่ง
                                        เมื่อปี ..2500 ได้มีการขุดพบภาชนะดินเผา ที่ตำบลบ้านเชียง  อำเภอหนองหาน  จังหวัดอุดรธานี ได้พบหลักฐานทางโบราณคดีต่างๆ หลายประเภท ทั้งที่เป็นโครงกระดูก และภาชนะเคื่องปั้นดินเผาที่เขียนลวดลายด้วยสีแดง รวมทั้งวัตถุที่ทำด้วยหิน  สำริด  และเหล็ก เป็นจำนวนมาก  ทางกรมศิลปากรได้ตรวจหาอายุด้วยวิธี เทอร์โมมิเนสเซนต์” พบว่าเป็นโบราณวัตถุที่มีอายุราว7,000 – 5,000 ปี เป็นโบราณวัตถุยุดก่อนประวัติศาสตร์
เชสเตอร์ กอร์แมน และอาจารย์พิสิฐ  เจริญวงศ์  นักโบราณคดีได้ตั้งทฤษฎีเกี่ยวกับสำริดที่บ้านเชียงว่า  การขุดพบสำริดในดินแดนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเอเชียไมเนอร์  ทะเลเมดิเตอเรเนียน     ลุ่มแม่น้ำสินธุ  ซึ่งดินแดนเหล่านั้มีแร่ทองแดง เป็นจำนวนมาก  แต่ไม่พบดีบุกเลย จึงเป็นไปได้ว่าดินแดน    เหล่านั้นนำเอาดีบุกจากแหล่งอื่นมาใช้ ซึ่งพวกเหล่านั้นล้วนรู้วิธีการหล่อมสำริดมาก่อน  ซึ่งบริเวณบ้านเชียงเองก็อยู่ในลักษณะดังกล่าวด้วย  พอสันนิษฐานได้ว่า  สำริดที่บ้านเชียงน่าจะมีอายุเก่ากว่า สำริดที่พบในดินแดนอื่นๆ ของโลกทั้งหมด
                                        ศาสตราจารย์ นายแพทย์สุด  แสงวิเชียร  ได้ศึกษาโครงกระดูกมนุษย์ยุดหินที่ค้นพบบริเวณบ้านเก่า  จังหวัดกาญจนบุรี เปรียบเทียบกับโครงกระดูกของประเทศไทยในปัจจุบันพบว่ามีความคล้ายคลึงกันเกือบทุกประการ  มีเครื่องปั้นดินเผาคล้ายกัน  จึงมีความเห็นว่าดินแดนภาคกลางของประเทศไทยปัจจุบันนี้ น่าจะเป็นที่อยู่อาศัย ของกลุ่มชนที่เป็นบรรพบุรุษของชนชาติไทยปัจจุบัน                                                                                               
                                        ศาสตราจารย์ ชิน   อยู่ดี  ผู้เชียวชาญทางด้านโบราณคดีไทย  ได้เขียนหนังสือเรื่อง สมัยก่อนประวัติศาสตร์ในประเทศไทย  เสนอว่า  จากการสำรวจค้นคว้าด้านโบราณคดี  ได้ปรากฏร่องรอยการอยู่อาศัยของมนุษย์ในดินแดนประเทศไทย  ตั้งแต่ยุคหินจนถึงยุดโลหะ  ต่อมาจนถึงยุคประวัติศาสตร์  โดยมีการสืบเนื่องทางวัฒนธรรมจนถึงปัจจุบันการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับชนชาติไทย มีนักประวัติศาสตร์หลายท่านได้ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับถิ่นกำเนิดของชนชาติไทยได้เขียนอธิบายไว้หลายแนวทาง พอสรุปได้ดังนี
                                                                                                                                                                                                                                                        ซากปลาซ่อน และโครงกระดูกที่บ้านโนนวัด.โนนสูง .นครราชสีมา อายุกว่า 4,000  ปี
                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                        
                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                           








                   ภาชนะทองแดง มีอายุระหว่าง 3,800 ปี 2,700 ปีมาแล้ว  พบที่แหล่งโบราณคดีที่ บริเวณหุบเขาวงพระจันทร์  อ่างเก็บน้ำนิลกำแหง  อ่างเก็บ ห้วยใหญ่  .ลพบุรี ได้พบหลักฐานการถลุงแร่แม่พิมพ์สำหรับ
                   หล่อทองแดงเป็นจำนวนมาก    รูปแบบ ดินเผา ยังคงเป็นแบบที่คล้ายกับแบบในสมัยแรก                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                           
                                        นายเอเตียน   เอโมนิเอร์  ชาวฝรั่งเศส เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนเมืองขึ้นของฝรั่งเศส  ได้เขียนไว้ในหนังสือเรื่องประเทศกัมพูชา เมื่อปี .. 2443  ว่า มีครอบครัวเชื้อชาติไทยใหญ่ซึ่งเรียนว่า ไทย” ที่แปลกกันว่าเสรีชน ประกอบด้วยหมู่ชนมากมายหลายสาขา มีความสัมพันธ์อย่างเครือญาติใกล้ชิด  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางภาษา  ชนส่วนใหญ่ของเชื้อชาติดังกล่าวได้แก่ ฉาน  ลาว หรือ ลาวเฉียง  ผู้ไท และชาวสยามื  เมื่อก่อนคริสตศักราช ชนเชื้อาตินี้ได้มีถิ่นฐานอยู่ในที่ราบสูงยูนาน หรือธิเบตตะวันออก  ต่อมาได้เคลื่อนย้ายลงมาตามทางลาดเอียงของลำน้ำ เข้ายึดครองลุ่มน้ำหลายแห่งในประเทศจีนตอนใต้  และได้แผ่ลงมาทางใต้เหมือนน้ำไหลอย่างแรง  ครอบคลุมที่ราบในแหลมอินโดจีนเกือบทั้งหมด  และได้ขับไล่พวกชาวป่าชาวดอยเจ้าของถิ่นเดิมให้เข้าไปอยู่ในป่าดง และภูเขา ชนชาติไทยก็เข้าครอบครองดินแดนดังกล่าว คงเหลือดินแดนให้แก่พวกพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ก่อนแล้ว คือ พวก ญวน เขมร และมลายู
                                        พันตรี เดวิด  ชาวอังกฤษ ได้เขียนไว้ในหนังสือ ไทยในยูนาน  ว่า  คนจีนในยูนานกล่าวว่า ชาวกวางตุ้งนั้นเป็นเชื้อชาติฉาน (ไทยใหญ่)  มีรูปร่างหน้าตาของชาวจีนตอนใต้กับพวกฉานทางเหนือเหมือนกันมาก อาจเป็นไปได้ว่าในสมัยหนึ่งพวกฉาน ได้ครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ในประเทศจีนทางด้านทิศใต้ของแม่น้ำยังจื้อ แต่ส่วนมากถูกพวกจีนกลืนไป
                                        พันโทมอริส  อาบาดี  ชาวฝรั่งเศส  อธิบายว่า  กลุ่มเชื้อชาติของกลุ่มคนที่เรียกชื่อว่า ไทย” เป็นกลุ่มสำคัญที่สุดในบรรดาหมู่ชนทั่งหลายที่ได้พบในประเทศจีนตอนใต้ และในอินโดจีนทั้งหมด  เป็นกลุ่มที่รวมหมู่มากมายหลายประเภท แต่มีลักษณะสำคัญที่เหมือนกันในทางภาษา ขนบประเพณี และจารีตวัฒนธรรม
                                        นายดอชเรน  ชาวอังกฤษ  ซึ่งเป็นสมาชิกราชบัณฑิตยสภาอังกฤษ เกี่ยวกับทวีปเอเซีย ให้คำอธิบายว่าว่าเชื้อชาติไทย แบ่งแยกเรียกชื่อตามหมู่เหล่าหลายชื่อ แต่เป็นเชื่อชาติเดียวกันได้ยึดครองพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลกว่าคนเชื้อชาติอื่นๆ ในแหลมอินโดจีน ในอัสสัม ซึ่งเรียกว่า อาหม  ตลอดแนวเขตแดนระหว่างพม่ากับจีน  แบ่งแยกเป็นหลายพวก และบางพวกก็เป็นอิสระอย่างครึ่งๆกลางๆ เรียกชื่อตามที่พม่าเรียกว่า ฉาน” ชนเชื้อชาติเดีวกันนี้ได้แผ่ออกไปทางใต้ใช้ชื่อว่า ลาว” ยึดครองพื้นที่ระหว่างแม่น้ำสาละวินกับแม่น้ำโขงตอนใต้ลงไป รู้จักกันมากที่สุด และเป็นเชื้อชาติที่มีอารยธรรมสูงที่สุด คือ ไทยสยาม” ซึ่งได้ตั้งอาณาจักรที่มีอำนาจอยู่ทางฝั่งทะเล
                                                                                                                                                                                                                                                                                                                         
                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                  
                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                          
                                                                                                                                                                                                                                                                                                                             
                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                        
                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                        
                                                                                                                                                                                                                                                                                                                            
                                                                                                                                                                       ลูกปัด กำไล ทองแดง                                                                                         
                                                                                       มีอายุระหว่าง 2,100-2,300 ปี มาแล้ว  ยังคงมีการผลิตทองแดงอย่างต่อเนื่องและพบเครื่องประดับสำริด มีการติดต่อกับวัฒนธรรมดองชอน        
                                                                                       ซึ่งเป็นวัฒนธรรมยุคเหล็ก มีศูนย์กลางในประเทศเวียดนามในปัจจุบัน ได้พบลูกปัดหินกึ่งรัตนชาติ ในแหล่งโบราณคดีที่ศูนย์การทหารปืน    
                                                                                       ใหญ่  แสดงว่าได้มีการติดต่อกับชุมชนในประเทศอินเดียแล้ว มีการใช้ภาชนะดินเผารูปแบบใหม่  เพิ่มขึ้นได้แก่  ภาชนะสีน้ำตาลเข้ม       
                                                                                      ด้านนอกขัดมันเป็นภาชนะประเภทหม้อ ไหก้นกลม  ชามก้นกลม                                                  
                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                       
                                        าสตราจารย์แตริอัง  เดอลาคุเปอรี   ชาวอังกฤษ ได้ตรวจสอบภาษาพูดของชาวจีนสมัยโบราณ  พบว่าคำพูดของหมู่ชนที่จีนเรียกว่า คนป่า” ในสมัยโบราณนั้น แยกออกได้เป็นสองสาขา คือ บางคำตรงกับภาษาไทย  บางคำตรงกับภาษามอญและญวน  เมื่อลองตรวจนับดูก็พบว่าในบรรดาคำ 19 คำ จะเป็นภาษาไทย 12 คำ นอกนั้นเป็นภาษามอญและญวน  และมีอยู่มากคำที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร  ด้วยเหตุนี้ศาสตราจารย์คุเปอรีจึงถือว่า หมู่ชนที่ชาวจีนเรียกว่าคนป่านั้นต้องเป็นเชื้อชาติหนึ่งของชนชาติ มอญไทย” โดยที่พันธุ์มอญได้เคลื่อนลงมาทางใต้ก่อนพันธุ์ไทย และมากลายเป็น มอญเขมร ญวน ในปัจจุบัน  ศาสตราจารย์ลาคุเปอรี ได้พบจดหมายเหตุจีนกล่าวถึงชนชาติไทยเป็นครั้งแรกในรัชสมัยพระเจ้ายู้ของจีน เมื่อ 1654 ปีก่อนพุทธศักราช  ชนชาติไทยได้ถูกระบุไว้ในรายงานการสำรวจภูมิประเทศของจีนในครั้งนั้น แต่จดหมายเหตุจีนเรยกชนชาติไทยว่า มุง” และบางแห่งเรียก ต้ามุง” คือมุงใหญ่ ถิ่นที่อยู่ของชนชาติไทยดังกล่าวนี้ อยู่ในเขตมณฑลเสฉวนของจีนในปัจจุบัน  ซึ่งอยู่ในพื้นที่จีนกลางค่อนไปทางตะวันตก
                                        มีจดหมายเหตุของจีน กล่าวถึงชนชาติไทย ได้เรียกชื่อไทยเป็นสองพวก คือ ลุง” กับ ปา” อาจจะเป็นได้ว่า ทิวเขากุยลุง  ได้ชื่อมาจากไทยพวกที่จีนเรียกว่าลุง  คำว่ากุย เป็นคำไทยแปลว่า เขา” นอกจากนั้นยังมีชนชาติอีกพวกหนึ่ง อยู่ในพื้นที่ระหว่างมณฑลโฮนาน  ฮูเป  และอันฮุย  แล้วได้ขยายตัวออกไปถึงทิวเขากุยลุง  ทางด้านตะวันตก เราก็จะได้พบชนชาติไทยที่เรียกชื่อว่า  มุง ลุง  ปา  ปัง  และลาว  บนฝั่งซ้ายของแม่น้ำแยงซีเกียง  ครอบครองดินแดนตั้งแต่มณฑลเสฉวนภาคตะวันตก ต่อเนื่องทางด้านตะวันออก  จนเกือบถึงทะเล  และย้อนขึ้นไปทางเขตมณฑลเกียงสู  ทิวภูเขาลาวในแถบนี้ก็อาจจะได้ชื่อมาจากพวกไทย ที่เรียกตัวเองว่า ลาว” นี้เอง
                                        เซอร์ยอร์ซ  สก๊อต   ชาวอังกฤษผู้เขียนประวัติศาสตร์พม่า  ได้เขียนความตอนหนึ่งว่า  เชื้อชาติไทยเป็นเชื้อชาติแผ่ไพศาลที่สุดในแหลมอินโดจีน  ชาวอาหมในแคว้นอัสสัมเป็นฉาน  ชาวฮักก้าในกว้างตุ้งเป็นพวกที่ไปจากฉาน  อาจจะเป็นไปได้ว่าเชื่อชาติไทยประกอบส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในสี่มณฑลทางตอนใต้ของจีน
                                        เรเวอเรนต์  เบอร์กวอล  นักบวชชาวอังกฤษ กล่าวว่า ไทยในมณฑลกวางสี ตามอำเภอชนบทมากหลาย ปกครองโดยหัวหน้าของเขาเอง ที่สืบเชื้อสายต่อกันมา ไม่พูดภาษาจีน และถือพวกถือหมู่ ถึงขั้นไม่ยินดีรับอารยธรรมจีน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น